• Others

  • Tips&Tricks

  • Knowledge

เย็นฉ่ำรับหน้าร้อนกับ 7 วิธีเลือกซื้อแอร์บ้านให้ตอบโจทย์

  • โดย NocNoc Writer

  • 233

Key Takeaways

  • วิธีเลือกซื้อแอร์บ้านต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย โดยเฉพาะชนิดของแอร์ที่เลือกซื้อจะต้องตรงตามความต้องการและสัมพันธ์กับขนาดและลักษณะของห้อง รวมไปถึงขนาดของ BTU ที่สำคัญมาก จึงควรเลือกให้เหมาะกับขนาดและพื้นที่ของห้องที่จะนำแอร์ไปติดตั้ง 
  • การเลือกแอร์ให้ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์และการดำเนินชีวิต ควรดูที่ฟังก์ชันการทำงานอื่น ๆ ของแอร์ด้วย เช่น ระบบการทำงาน จำนวนพลังงานที่ใช้ การกระจายแรงลม ระบบฟอกอากาศ และเสียงแอร์ขณะใช้งาน

เมืองไทยกับความร้อนเป็นของคู่กัน ยิ่งหน้าร้อนมาถึงแดดก็ยิ่งแผดเผา อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นแบบไม่ยั้ง และหนทางไหนที่จะช่วยคลายร้อนไปได้ดีกว่าการเปิดแอร์ เปิดตลอดทั้งวัน อุณหภูมิก็ต้องปรับให้ต่ำเข้าไว้ และถ้ายังเย็นไม่พอก็เปิดพัดลมจ่อตัว แต่พอสิ้นเดือนก็เหมือนสิ้นใจเพราะบิลค่าไฟออกมาทีลมแทบจับ ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ค่าไฟพุ่งแบบฉุดไม่อยู่ เห็นจะเป็นเจ้าแอร์ตัวปัญหาที่ทั้งเก่าทั้งไม่เย็น แถมยังกินไฟอีกต่างหาก

หลายบ้านคงคิดอยากจะซื้อแอร์ตัวใหม่ เพราะดูเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากกว่าการมานั่งจ่ายค่าไฟแพง ๆ ในทุก ๆ เดือน วันนี้ NocNoc มีวิธีเลือกแอร์เข้าบ้านมาฝากกัน เพื่อช่วยให้ทุกคนได้แอร์ที่เปิดแล้วเย็นชุ่มฉ่ำแต่ยังประหยัดไฟ และไม่ว่าจะฤดูไหนก็เย็นสบายตลอดทั้งปี

7 วิธีเลือกแอร์บ้านให้เข้ากับการใช้งาน แถมยังประหยัดเงินในกระเป๋า

1. เลือกประเภทแอร์ให้เหมาะสม

แอร์มีให้เลือกหลายประเภททั้งแอร์ติดผนัง แอร์แขวนใต้ฝ้า แอร์ฝังในฝ้า และแอร์เคลื่อนที่ ซึ่งแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติและดีไซน์ที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นวิธีเลือกซื้อแอร์อันดับแรกเลย คือ จะต้องเลือกประเภทแอร์ให้แมทช์กับความต้องการของเรา

  • แอร์ติดผนัง

 

ภาพ: แอร์ติดผนัง

ใครที่กำลังหาแอร์ไปติดในห้องนอน ห้องนั่งเล่นที่บ้าน หรือคอนโด แอร์ติดผนังถือว่าเหมาะสม เพราะหาซื้อง่าย ตัวเครื่องไซซ์กำลังดี ติดตั้งง่าย มีขนาดให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 9,000 – 36,000 BTU จึงเหมาะกับห้องที่มีขนาดตั้งแต่ 10 – 54 ตารางเมตร ประหยัดไฟ และที่สำคัญคือดูแลรักษาง่ายสุด

  • แอร์แขวนใต้ฝ้า

 

ภาพ: แอร์แขวนใต้ฝ้า

หากกำลังมองหาแอร์ไปใช้ในห้องขนาดใหญ่ ๆ อย่างสำนักงานออฟฟิศ ห้องประชุม ห้องอาหาร แอร์ไซซ์ใหญ่รูปร่างแบน ๆ จะแขวนไว้กับเพดานหรือตั้งขึ้นมาจากพื้นก็ได้ จุดเด่นคือกระจายแรงลมได้ดี สามารถติดในห้องที่มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถติดแอร์ที่ผนังได้ อย่างห้องกระจก เหมาะกับห้องที่มีขนาดตั้งแต่ 14 – 80 ตารางเมตร เพราะขนาดของแอร์มีให้เลือกตั้งแต่ 13,000 – 60,000 BTU

  • แอร์ฝังในฝ้า

 

ภาพ: แอร์ฝังในฝ้า

โดนใจสาวกแต่งบ้านแน่นอนสำหรับแอร์ฝังในฝ้า เพราะลักษณะเฉพาะตัวที่สามารถซ่อนตัวเครื่องไว้ในฝ้าเพดานได้ จึงเหมาะกับคนรักการแต่งบ้านเป็นพิเศษ เพราะน้องจะไม่มาเกะกะสายตาให้รำคาญใจ และในปัจจุบันก็พบเห็นได้ง่ายขึ้น เพราะคนเริ่มหันมาสนใจและใส่ใจในการตกแต่งบ้าน เป็นแอร์ที่ช่วยให้การแต่งห้องนั้นลงตัวมากยิ่งขึ้น ประหยัดพื้นที่ กระจายอากาศได้อย่างทั่วถึง ด้วยขนาด 13,000 – 48,000 BTU จึงสามารถทำความเย็นได้ดี แต่มีข้อเสียตรงที่เป็นแอร์ที่ติดตั้งและบำรุงรักษาค่อนข้างยากกว่าแอร์ชนิดอื่น ๆ 

  • แอร์เคลื่อนที่

 

ภาพ: แอร์เคลื่อนที่

สำหรับคนที่ไม่สะดวกติดตั้งแอร์หรืออยากประหยังบก็นี่เลย แอร์เคลื่อนที่ จะมีลักษณะคล้าย ๆ พัดลมไอเย็น เป็นตู้สี่เหลี่ยมขนาดเล็กกะทัดรัด สามารถเคลื่อนย้ายไปมาได้สะดวก กลางวันจะลากไปห้องนั่งเล่นก็ได้ ตกกลางคืนจะลากกลับมาห้องนอนก็ได้ ย้ายได้ตลอดเวลาตามความต้องการ จุดเด่น คือ ไม่ต้องทำการติดตั้งให้ยุ่งยาก ไม่ต้องทุบ ไม่ต้องเจาะ แค่เสียบปลั๊กก็ใช้งานได้เลยทันที แต่ส่วนมากจะมี BTU ต่ำ ประมาณ 7,000 – 18,000 BTU จึงเหมาะกับห้องขนาดตั้งแต่ 8 – 23 ตารางเมตร

2. ขนาด BTU กับพื้นที่

ภาพ: แอร์หลากหลายขนาด

วิธีเลือกซื้อแอร์บ้านที่สำคัญต่อมาเลยคือ ขนาด BTU (British Thermal Unit) ทุกคนคงจะเคยได้ยินคำนี้มาบ่อยมาก แต่อาจจะยังงงว่ามันคืออะไร BTU คือ หน่วยที่ใช้วัดปริมาณความร้อน และยิ่งค่า BTU เยอะมากเท่าไร นั่นหมายถึงความสามารถในการนำความร้อนออกจากห้องได้มากเท่านั้น เพราะฉะนั้นเราจึงควรเลือกแอร์ที่มีขนาด BTU เหมาะสมกับขนาดหรือพื้นที่ของห้องเรา

เพราะอาจจะเกิดปัญหาตามมาได้ ถ้าไม่ได้เช็คขนาดห้องก่อนซื้อแอร์แล้วดันไปเลือกแอร์ที่มี BTU สูงเกิน ซึ่งจะทำให้คอมเพรสเซอร์ตัดการทำงานบ่อย และเกิดความชื้นภายในห้องสูง แถมยังสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ หรือถ้าเลือกแอร์ที่มี BTU ต่ำกว่าขนาดห้อง ก็จะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานตลอดเวลา ค่าไฟพุ่งไม่หยุดและแอร์ก็เสียเร็วด้วยเช่นกัน

3. ค่า EER และ SEER

ภาพ: ค่าไฟฟ้าที่มาจากแอร์

ถ้าอยากรู้ว่าแอร์ตัวนี้ประหยัดไฟแค่ไหนต้องดูที่ค่า EER (Energy Efficiency Ratio) หรือ SEER (Seasonal Energy Efficiency Ratio) ซึ่งเป็นค่าที่เอาไว้ใช้วัดประสิทธิภาพในการใช้พลังงานของแอร์ และถูกนำมาใช้เป็นตัวกำหนดจำนวนดาวในฉลากประหยัดไฟของเครื่องปรับอากาศ ยิ่งได้ค่า EER หรือ SEER สูงเท่าไร ก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานเยอะเท่านั้น หรือหมายถึงยิ่งประหยัดไฟนั่นเอง ซึ่งเป็นอีกวิธีเลือกแอร์ที่ต้องคำนึงถึง เพราะจะช่วยเราตัดสินใจเลือกซื้อแอร์ที่ประหยัดทั้งพลังงานและค่าไฟ

4. ระบบอินเวอร์เตอร์ ช่วยประหยัดไฟมากขึ้น

ภาพ: แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์

หน้าร้อนทีไรค่าไฟสูงปรี๊ด จะให้เปิดแต่พัดลมก็ไม่ไหว ทางออกที่จะทำให้ห้องของคุณเย็นสบายแต่ไม่กินไฟ คือ เลือกซื้อแอร์ที่มีระบบอินเวอร์เตอร์ ได้ยินบ่อยมากคำว่า อินเวอร์เตอร์ ที่มักจะมาพร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้า อย่างเครื่องซักผ้า ตู้เย็น หรือแอร์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทำหน้าที่เหมือนสมองกล คอยควบคุมการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานมากขึ้น ถือเป็นวิธีเลือกแอร์ที่สำคัญเพราะช่วยเซฟทั้งไฟเซฟทั้งเงิน

  • ระบบอินเวอร์เตอร์ในแอร์ จะทำหน้าที่สั่งงานคอมเพรสเซอร์ให้วิ่งในรอบสูงสุด เพื่อปรับอุณหภูมิภายในห้องให้ลดลงจนถึงระดับที่ตั้งไว้ หลังจากนั้นจะปรับรอบการทำงานลงเพื่อเลี้ยงอุณหภูมิในห้องให้คงที่อยู่ตลอดเวลา 
  • แอร์ระบบธรรมดาจะตัดการทำงานทันทีเมื่ออุณหภูมิลดลงจนต่ำกว่าระดับที่ตั้งไว้ 1-2 องศา และเมื่ออุณหภูมิในห้องสูงเกินที่ตั้งไว้ 1-2 องศาก็จะกลับมาทำงานอีกครั้ง ซึ่งทำให้เกิดไฟกระชากและกินไฟมากกว่า

5. ทำงานเงียบ ไม่ส่งเสียงรบกวน

ภาพ: แอร์ในห้องนอน

เคยสะดุ้งตื่นเพราะเสียงรบกวนจากแอร์ไหม ถือเป็นปัญหาใหญ่ของคนนอนยาก เพราะทำงานมาทั้งวันก็อยากจะพักผ่อนให้เต็มที่ ซึ่งเสียงของแอร์นั้นมาได้จากหลายปัจจัย ทั้งความเก่า ความสกปรก การติดตั้งไม่ดี ซึ่งเกิดหลังการซื้อแอร์มาแล้ว 

แต่ถ้าแอร์มันดังจากการทำงาน ให้ช่างซ่อมก็ยังไม่หาย จะดีกว่าไหมถ้าเราเลือกซื้อแอร์ที่มีคุณสมบัติการทำงานที่เงียบ ไร้เสียงรบกวน ก็ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีเลือกแอร์ที่ค่อนข้างสำคัญเลยทีเดียว 

6. ระบบฟอกอากาศ

ภาพ: ระบบฟอกอากาศในแอร์

ในยุคที่เต็มไปด้วย PM 2.5 และโควิค 19 การเลือกแอร์ที่มีเทคโนโลยีฟอกอากาศก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งระบบฟอกอากาศในแอร์ก็มีหลากหลายแบบ ทั้ง การกรอง คือการนำแผ่นกรองอากาศมาใช้ดักจับฝุ่นที่มีอนุภาคขนาดใหญ่ การดักจับด้วยไฟฟ้าสถิต คือการปล่อยประจุไฟฟ้าลบให้มาดักจับฝุ่นละออง และในแอร์บางรุ่นยังมีเทคโนโลยีที่สามารถดักจับฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กมาก ๆ อย่างฝุ่น PM 2.5 ได้ ทำให้ห้องของเรามีอากาศที่บริสุทธิ์และสดชื่น 

7. ฟังก์ชันการใช้งานอื่น ๆ

ภาพ: ควบคุมแอร์ด้วยโทรศัพท์มือถือ

วิธีเลือกซื้อแอร์ที่สำคัญไม่แพ้ใคร คือ ฟังก์ชันเสริมที่มากับแอร์ อย่างฟังก์ชันควบคุมระยะไกลผ่านสมาร์ทโฟน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ ให้เปิดและปิดแอร์ได้ทุกที่ทุกเวลา เซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวของคนภายในห้อง เพื่อปรับระบบการทำงานของแอร์ให้สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม ตอบโจทย์การดำเนินชีวิต

หากใครที่ได้อ่านวิธีเลือกแอร์ทั้งหมดข้างต้นไปแล้ว แต่ยังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะซื้อแอร์ยี่ห้อไหนหรือรุ่นไหนดี NocNoc ขอแนะนำแอร์ 6 รุ่นที่น่าสนใจ มาพร้อมคุณสมบัติที่ช่วยประหยัดพลังงาน ทำงานเงียบไร้กังวล

แนะนำ 6 แอร์ประหยัดไฟ คุณภาพดีที่ต้องมีติดบ้าน

1. Sharp รุ่น AH-XP13YMB ขนาด 12,000 BTU

บ้านไหนที่กำลังมองหาแอร์สำหรับห้องนอนขนาดเล็กที่ไม่เกิน 18 ตารางเมตร แอร์รุ่น AH-XP13YMB จาก Sharp คือตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ มาพร้อมระบบอินเวอร์เตอร์ ช่วยในการประหยัดพลังงาน เย็นฉ่ำทันใจด้วยระบบ Super Jet ที่ทำให้แอร์เย็นเร็วกว่าที่เคย และระบบพลาสม่าคลัสเตอร์ที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และไรฝุ่น พร้อมสลายกลิ่นไม่พึงประสงค์

คุณสมบัติ

  • ประหยัดไฟด้วยระบบการทำงานแบบอินเวอร์เตอร์
  • อากาศสะอาดด้วยระบบฟอกอากาศพลาสม่าคลัสเตอร์
  • รับประกันคอมเพรสเซอร์นานถึง 10 ปี
  • ฟังก์ชันการทำงานเงียบมาก
  • คอยล์ร้อนทนทานเพราะทำจากแผงทองแดง

2. Daikin Smile Lite รุ่น FTKF-U ขนาด 15,000 BTU

สายรักษ์โลกต้องเลิฟกับแอร์รุ่น FTKF-U จาก Daikin เพราะด้วยชาร์จน้ำยา R-32 เต็มระบบ ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยสาร CFC ที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน เหมาะมากสำหรับห้องขนาดเล็กที่ไม่เกิน 22 ตารางเมตร มาพร้อมระบบอินเวอร์เตอร์จึงช่วยประหยัดพลังงานได้ดี มีระบบป้องกันเชื้อราและระบบ Auto Clean แถมยังสามารถสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟนได้ง่ายๆ

คุณสมบัติ

  • มีเทคโนโลยี Streamer สามารถสลายเชื้อโรคและสสารอันตรายที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้
  • มีแผ่นกรองอากาศที่สามารถกรอง PM 2.5 พร้อมช่วยยับยั้ง ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ถึง 99.9% รวมถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์
  • Hybrid Cooling ปรับระดับความชื้นโดยอัตโนมัติเพื่อให้เย็นสบายตัวไม่อึดอัด
  • มีระบบ Intelligent Eye ตรวจจับจำนวนคนภายในห้องและปรับอุณหภูมิเพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน
  • ค่า SEER สูงสุด 24.7 ได้ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ระดับ 3 ดาว

3. Daikin รุ่น Super Smile Inverter (FTKC-TV2S) FTKC18TV2S ขนาด 17,700 BTU

หมดปัญหาค่าไฟแพง ด้วยแอร์จาก Daikin รุ่น (FTKC-TV2S) FTKC18TV2S เพราะด้วยระบบการทำงานแบบอินเวอร์เตอร์และเทคโนโลยีตาอัจฉริยะที่คอยตรวจจับทุกการเคลื่อนไหว เหมาะมากกับห้องนั่งเล่นที่มีคนเข้าออกบ่อย เพราะช่วยลดการใช้พลังงานลงได้เมื่อไม่มีคนอยู่ภายในห้อง มาพร้อมหน้ากากแอร์แบบใหม่ซึ่งช่วยส่งลมเย็นได้แบบไม่โดนตัว เป็นแอร์ที่เหมาะกับห้องขนาดไม่เกิน 27 ตารางเมตร

คุณสมบัติ

  • มีเซนเซอร์วัดระดับความชื้น ช่วยให้เย็นเร็วและสบายมากขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องหยดน้ำเกาะ
  • มีระบบทำความสะอาดตัวเองโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันกลิ่นอับและเชื้อรา ช่วยยับยั้งกลิ่นไม่พึงประสงค์
  • ได้ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ระดับ 2 ดาว
  • รับประกันคอมเพรสเซอร์นาน 5 ปี

4. Mitsubishi Heavy Duty Inverter รุ่น SRK18YW ขนาด 17,276 BTU

การเลือกซื้อแอร์สำหรับคนเป็นภูมิแพ้นั้นต้องพิถีพิถันมากหน่อย ห้ามลืมที่จะคำนึงถึงระบบกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพ และแอร์จาก Mitsubishi รุ่น SRK18YW มาพร้อมเทคโนโลยี Activated Carbon และ Anti-Allergy ที่มีคุณสมบัติกำจัดสารก่อภูมิแพ้ในอากาศได้และยังสามารถดูดซับฝุ่นละออง ก๊าซอันตรายได้อีกด้วย ประหยัดค่าไฟและทำงานเงียบด้วยระบบอินเวอร์เตอร์ เหมาะมากกับห้องไซซ์ 25 ตารางเมตร

คุณสมบัติ

  • ได้ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ด้วยค่า SEER สูงถึง 24.53 
  • กระจายลมเย็นได้ทั้งแบบสวิงแนวตั้ง ขึ้น-ลง และสวิงแนวนอน ซ้าย-ขวา แบบ 3D Auto
  • มีแผ่นกรองอากาศ Solar Filter ช่วยกำจัดกลิ่น และ Enzyme Filter ช่วยทำลายเชื้อโรค

5. Daikin รุ่น FTKM18 (Smart) ขนาด 17,700 BTU

ปัญหาแอร์ประหยัดพลังงานแต่ไม่เย็นจะหมดไป ด้วยแอร์อินเวอร์เตอร์รุ่น FTKM18SV2S จาก Daikin ที่มีนวัตกรรมสุดล้ำที่รวมเอาการประหยัดพลังงานและประสิทธิภาพในการทำความเย็นมาไว้ด้วยกัน พร้อมเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การกระจายลมแบบสามมิติ ส่งลมเย็นได้ทั่วถึงทั้งห้อง และระบบตาอัจฉริยะ ช่วยลดการใช้พลังงานเมื่อไม่มีคนอยู่ เหมาะกับห้องขนาดไม่เกิน 27 ตารางเมตร

คุณสมบัติ

  • มีแผ่นกรองอากาศ Titanium Apatite Deodorizing Filter ที่ช่วยดับกลิ่นและยับยั้งแบคทีเรียและไวรัส
  • มีระบบควบคุมอุณหภูมิขณะหลับ ช่วยให้นอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น
  • ด้วยระบบอินเวอร์เตอร์แบบสวิง ช่วยประหยัดไฟและลดแรงเสียดทาน
  • ทำงานเงียบสุดเพียง 22 เดซิเบล
  • ค่า SEER สูงถึง 23.76
  • คอมเพรสเซอร์รับประกัน 5 ปี

6. Daikin รุ่น SABAI PLUS (FTKQ-UV) ขนาด 18,100 BTU

ตอบโจทย์ทุกความต้องการสำหรับแอร์จาก Daikin รุ่น FTKQ-UV เหมาะกับคนที่กำลังมองหาแอร์ไปติดในห้องที่ขนาดไม่เกิน 30 ตารางเมตร เป็นแอร์ที่ให้ความสบายสมชื่อ เพราะเย็นสบายทั้งตัว ด้วยความสามารถในการกระจายลมเย็นได้ดี แถมยังสบายเงินในกระเป๋า เพราะช่วยประหยัดค่าไฟได้ด้วยระบบอินเวอร์เตอร์

คุณสมบัติ

  • ประหยัดไฟมากยิ่งขึ้นด้วยค่า SEER สูงสุดถึง 17.49
  • ใช้อินเวอร์เตอร์คอมเพรสเซอร์แบบสวิง
  • สามารถทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว
  • มีระบบป้องกันกลิ่นอับชื้นและเชื้อรา
  • มีแผ่นกรองอากาศที่สามารถกรอง PM 2.5 ได้

วิธีเลือกแอร์ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก ต้องศึกษาและหาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อ เพราะจะช่วยลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาทีหลังได้ ทั้งแอร์เย็นไม่พอ เสียงแอร์ดังรบกวน ค่าไฟเพิ่มสูงขึ้น ฟังก์ชันที่ไม่ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ และถ้ายังเลือกไม่ถูกหรือตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้อแอร์ยี่ห้อไหนรุ่นไหนดี ก็สามารถเข้ามาเลือกชมสินค้าได้ที่ NocNoc แหล่งรวมเฟอร์นิเจอร์ของแต่งบ้านให้คุณสามารถช้อปได้ทุกที่ทุกเวลา สะดวกสบาย แถมยังประหยัดเวลาในการเดินทาง

นอกเหนือจากเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีให้เลือกสรรมากมาย ก็ยังมีบริการติดตั้งอุปกรณ์และทำความสะอาดจากช่างผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้บริการ มั่นใจได้ด้วยรีวิวจากลูกค้าจริง นอกจากนี้ยังมีบริการจากช่างมืออาชีพอื่น ๆ อีกหลายด้าน และถ้าหากเกิดปัญหาขึ้นก็มีทีมงาคอยช่วยเหลือ พร้อมชำระเงินได้หลายช่องทางทั้ง QR payment, E-Banking และบัตรเครดิต เพื่อให้ทุกคนได้สร้างบ้านในฝันในราคาสบายกระเป๋า เคาะ จบ ทุกเรื่องบ้านที่ NocNoc

บทความที่เกี่ยวข้อง